วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561


    
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โรคมะเร็ง



    โรคมะเร็งเป็นโรคยอดฮิตที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่งมายาวนาน โดยกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจว่าโดยเฉลี่ยในทุก ๆ ชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งถึง 6 คน แม้ว่าในปัจจุบันวิวัฒนาการเครื่องมือแพทย์และยารักษาโรคจะพัฒนาก้าวหน้าไปมาก แต่คนส่วนใหญ่มักละเลยอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง แล้วจึงมาพบแพทย์เมื่อมะเร็งอยู่ในขั้นลุกลามและยากต่อการรักษา โดยมะเร็งที่พบมากที่สุดในชายไทย ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ



สาเหตุของโรคมะเร็ง

สาเหตุของโรคมะเร็งยังไม่ชัดเจน แต่แพทย์พบปัจจัยเสี่ยงได้หลายปัจจัยเสี่ยง และเชื่อว่า สาเหตุน่ามาจากหลายๆปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน โอกาสเกิดจากปัจจัยเดียวพบได้น้อยมาก โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคมะเร็ง ได้แก่
  • มีพันธุกรรมผิดปกติ เป็นได้ทั้งพันธุกรรมที่ถ่ายทอดได้ หรือ พันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด
  • สูบบุหรี่
  • ดื่มสุรา
  • ขาดสารอาหาร
  • ขาดการกินผัก และผลไม้
  • กินอาหารไขมัน และ/หรือ เนื้อแดงสูงต่อเนื่อง เป็นประจำ
  • การสูดดมสารพิษบางชนิดเรื้อรัง เช่น สารพิษในควันบุหรี่ (สารก่อมะเร็ง หรือ สัมผัสสารก่อมะเร็ง อย่างต่อเนื่องโดย เฉพาะในปริมาณสูง
  • ร่างกายได้รับโลหะหนักเรื้อรังจาก การหายใจ อาหาร และ/หรือ น้ำดื่ม เช่น สารปรอท
  • ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัส เอชไอวี (HIV) ไวรัส เอชพีวี (HPV)
  • ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อเอชไพโลริในกระเพาะอาหาร (โรคติดเชื้อเอชไพโลไร)
  • ติดเชื้อพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ตับ
  • การใช้ยาฮอร์โมนเพศต่อเนื่อง
  • สูงอายุ เพราะเซลล์ผู้สูงอายุมีการเสื่อม และการซ่อมแซมต่อเนื่อง จึงเป็นสาเหตุให้เซลล์กลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็งได้

อาการของโรคมะเร็ง

    ไม่มีอาการเฉพาะของโรคมะเร็ง แต่เป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง โดยที่แตกต่างคือ มักเป็นอาการที่เลวลงเรื่อยๆและเรื้อรัง ดังนั้นเมื่อมีอาการต่างๆนานเกิน 1-2 สัปดาห์ จึงควรรีบพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเป็นมะเร็ง ได้ แก่
  • มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรัง ไม่หายภายใน 1-2 สัปดาห์หลังการดูแลตนเองในเบื้องต้น
  • มีต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ มักแข็ง ไม่เจ็บ และโตขึ้นเรื่อยๆ
  • ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วผิดปกติ หรือ เป็นแผลแตก
  • หายใจ หรือ มีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
  • เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงข้างเดียว (อาจออกทั้งสองข้างได้)
  • ไอเรื้อรัง หรือ ไอเป็นเลือด
  • มีเสมหะ น้ำลาย หรือ เสลดปนเลือดบ่อย
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปัสสาวะบ่อย ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือ เป็นมูกเลือด
  • ท้องผูก สลับท้องเสีย โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หรือ มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือนหรือ หลังมีเพศสัมพันธ์ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นอึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
  • มีไข้ต่ำๆหาสาเหตุไม่ได้
  • มีไข้สูงบ่อย หาสาเหตุไม่ได้
  • ผอมลงมากใน 6 เดือน มักตั้งแต่ 10%ขึ้นไปของน้ำหนักตัวเดิม
  • มีจ้ำห้อเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อย
  • ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/ขาอ่อนแรง หรือ ชักโดยไม่เคยชักมาก่อน
  • ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ อาจร่วมกับ แขน/ขาอ่อนแรง


ระยะของมะเร็ง

    ระยะโรคมะเร็ง คือ ตัวบอกความรุนแรงของโรค (การลุกลามและแพร่กระจาย) บอกแนว ทางการรักษา และแพทย์ใช้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง
โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1-4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะ อาจแบ่งย่อยได้อีกเป็น เอ (A) บี (B) หรือ ซี (C) หรือ เป็น หนึ่ง หรือ สอง เพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยประเมินการรัก ษา ส่วน โรคมะเร็งระยะศูนย์ (0) ยังไม่จัดเป็นโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์เพียงมีลักษณะเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกราน (Invasive) เข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง
  • ระยะที่ 1: ก้อนเนื้อ/แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
  • ระยะที่ 2: ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/อวัยวะ
  • ระยะที่ 3: ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
  • ระยะที่ 4: ก้อน/แผลมะเร็งขนาดโตมาก และ/หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง จนทะ ลุ และ/หรือ เข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ/หรือ มีหลากหลายต่อม และ/หรือ แพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ/หรือ หลอดน้ำเหลือง/กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมองกระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ในช่องอก และ/หรือ ต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า

การรักษาโรคมะเร็ง

    วิธีรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน ได้แก่ ผ่าตัด รังสีรักษา ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน ยารักษาตรงเป้า รังสีร่วมรักษา และการรักษาประคับประคองตามอาการด้วยอายุรกรรมทั่วไป
การรักษาโรคมะเร็งอาจเป็นวิธีใดวิธีเดียว หรือ หลายวิธีร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นกับ
  • ระยะโรค
  • ชนิดของเซลล์มะเร็ง
  • เป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อ/อวัยวะใด
  • ผ่าตัดได้หรือไม่ หลังผ่าตัด ยังคงหลงเหลือก้อนมะเร็งหรือไม่
  • ผลพยาธิวิทยาชิ้นเนื้อหลังผ่าตัดเป็นอย่างไร
  • อายุ และ
  • สุขภาพผู้ป่วย

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็ง

    ปัจจุบัน วิธีป้องกันโรคมะเร็งที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ที่หลีกเลี่ยงได้ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งที่สำคัญ คือ
  • กินอาหารมีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ทุกวัน ในปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่ให้อ้วนหรือ ผอม เกินไป โดยจำกัดเนื้อแดงแป้ง น้ำตาล ไขมัน เกลือ แต่เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆ
  • ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพ สม่ำเสมอ
  • รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดมีประสิทธิภาพดังได้กล่าวแล้ว
  • หลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น